Behind the scenes:

สนทนากับอาจารย์ประมวล ในบทเพลงแห่งมนตราปรัชญาปารมิตา

ในช่วงปลายปี 2017 ระหว่างที่เรากำลังพยายามทำบทเพลงแห่งมนตราปรัชญาปารมิตากันนั้น ได้มีโอกาสสนทนากับอ.ประมวลหลายครั้ง

เมื่อย้อนไปในการทำงานในช่วงเริ่มแรก หลังจากทีมงานได้เลือกมนตรานี้ขึ้นมาทำเป็นเพลง และได้ใช้ความพยายามกันอย่างเต็มที่แล้วในการอ่านปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรหลายๆบทแปลเท่าที่จะหาได้ จนมินท์ทำเนื้อและทำนองเพลงออกมา เมื่อทบทวนกันไปมาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าแม้พวกเราจะมีศรัทธาในบทมนตร์นี้มากเท่าใด แต่องค์ความรู้ทางธรรมที่น้อยนิดของเราเองอาจทำให้ตีความและสื่อความอะไรที่ผิดเพี้ยนจากเนื้อหาของพระสูตรไปในบทเพลง จึงน่าจะไปขอความรู้จากครูบาอาจารย์ เมื่อนึกได้เช่นนี้ก็ระลึกถึงอาจารย์ประมวลขึ้นมาทันที เพียงด้วยว่าได้อ่านหนังสือ ไกรลาส การจาริกบนวิถีแห่งศรัทธา ที่อาจารย์ได้บันทึกประสบการณ์การจาริกที่นั่น และบทมนตรา คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา ปรากฏขึ้นเป็นบรรทัดสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ ก็เลยคิดกันไปเองว่าอาจารย์ต้องให้ความสำคัญกับมนตราบทนี้บ้างแน่ๆ และก็เพิ่งจะมารับรู้กันในภายหลังเมื่ออาจารย์เล่าถึงความผูกพันกับมนตราปรัชญาปารมิตาในตลอดชีวิตของท่าน

ความเมตตาของอาจารย์ที่ให้เวลากับการทำเพลงนี้คงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ อาจารย์ไม่เพียงให้ความใส่ใจในรายละเอียดของทุกถ้อยคำของเพลงและภาพที่ถ่ายทอดความหมายของบทมนตร์ แต่อาจารย์อยากให้เราเข้าใจหัวใจของปรัชญาปารมิตา เข้าใจการพ้นจากความคิด เข้าใจความว่าง ดังที่อาจารย์ย้ำในการทำงานนี้เสมอว่า

ขอให้ทำขึ้นมา ความหมายอะไรบางอย่างจะถูกเปิดเผยออกมา
โดยเฉพาะขอให้ทำด้วยจิตที่ไม่ไปขึ้นอยู่กับผล
แต่เรามีความสุขกับการได้ทำสิ่งนี้ เมื่อมีความสุขจะเกิดปรากฏการณ์ที่เราเห็นมัน
และเราจะรู้เองว่าเราจะต้องทำอะไร อย่าตั้งความหวังกับสิ่งที่เป็นผล
ขอให้ตั้งใจในสิ่งที่ทำ นี่เป็นหัวใจของปรัชญาปารมิตา
เพราะปรัชญาปารมิตาสอนให้พระโพธิส้ตว์ได้รู้ว่า
แม้นพระโพธิสัตว์จะได้ช่วยสรรพสัตว์อันเป็นอเนกมากมาย
แต่ขอให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าถ้าคิดว่าได้ทำก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี

พวกเราได้แต่ทดแทนคุณของอาจารย์โดยการทำงานให้ดีที่สุดด้วยความหวังว่าบทเพลงจะไปสู่ผู้ฟังอย่างที่ท่านตั้งใจ และเมื่อย้อนกลับไปฟังบทสนทนากับอาจารย์ก็รู้สึกว่าทุกถ้อยคำมีคุณค่าอย่างยิ่ง บางสิ่งที่อาจารย์ได้บอกไว้ก็ต้องใช้เวลากว่าจะปรากฎในความเข้าใจ หลายสิ่งเพิ่งมาเข้าใจเอาวันนี้ก็มี เราได้พยายามบันทึกบทสนทนาไว้ และนำบางส่วนมาถ่ายทอดไว้ในที่นี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สนใจในบทเพลงแห่งมนตราปรัชญาปารมิตา ก็จะได้รับรู้ถึงเรื่องราวเบื้องหลังส่วนหนึ่งก่อนจะมาเป็นบทเพลงนี้

การนำมนตรามาทำเป็นบทเพลง อาจารย์คิดว่าอย่างไร?

มีสองอย่างคือการทำบทสวดประกอบดนตรีและการทำเพลงให้เป็นบทสวด ในกรณีแรก ถ้าเรานำบทสวดมาประกอบดนตรี เราเน้นการเคารพในทุกถ้อยคำของบทสวดและมีการใส่ melody เข้าไป แต่สำหรับกรณีหลัง (ซึ่งเป็นกรณีที่เรากำลังจะทำ) คือการทำเพลงให้เป็นบทสวดจะมีอารมณ์เพลงเข้ามาด้วยและต้องทำให้เพลงมีความหมายสื่อนัยของบทสวด

การนำสิ่งที่เราเรียกว่าดนตรี เข้ามาใช้กับเรื่องราวทางศาสนาเป็นความฝันของท่านพุทธทาสในสมัยที่ท่านยังอยู่ในสมัยที่มีพลังเต็มเปี่ยม แต่สมัยนั้นเรื่องดนตรีอาจจะยังจำกัดอยู่ในคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน อาจารย์น่าจะประสบความสำเร็จในความคิดชุดนี้ ในช่วงนั้นผู้ที่เข้าใจอาจารย์ก็น่าจะเป็นท่านเขมานันทะเพราะท่านจบมาจากศิลปากร มีความเข้าใจด้านศิลปะ ถ้าเราสามารถทำสิ่งนี้ให้ปรากฏขึ้นมาในสังคมไทยได้ ศัพท์สมัยใหม่คงจะเรียกว่าเป็นนวัตกรรมทางจิตวิญญาณ

ปัญหาอย่างหนึ่งที่เราเผชิญกันอยู่ในสังคมไทยก็คือ พุทธศาสนาในปัจจุบันของเราเต็มไปด้วยส่วนของการใช้ความคิดเชิงเหตุผล จึงเป็นอุปสรรคที่สำคัญทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงความเป็นพุทธะหรือโพธิได้ ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะว่างานเพลงชิ้นนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เนื้อหาสาระทางธรรมปรากฏเป็นความรู้สึกที่งดงามไพเราะ เวลาเราบอกว่าเรารู้ธรรม เรารู้อะไร เรารู้ข้อธรรมแต่จิตของเรายังหยาบหรือไม่ ใครมาเถียงก็ยังโมโหหรือไม่ บางครั้งเถียงกันเรื่องนิพพานจนแทบจะทะเลาะกัน

ขอคำแนะนำอาจารย์ในการการเรียบเรียงเนื้อหาของเพลง

ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรมีเนื้อหาที่ไม่ยาว กระชับสั้นจึงทำให้เป็นเพลงก็ได้ เพราะบทสวดไม่ยาว ถ้อยคำค่อนข้างกระชับ ต้นฉบับเดิม (สันสกฤต) มีคำเพียง 24 คำ แต่พอแปลเป็นไทย ก็ต้องพยายามแปลให้ความหมายครอบคลุมต้นฉบับ จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้แปลเหมือนกัน เช่น รูปคือความว่าง ในสันสกฤตคือ รูปัม ศูนยัม เท่านั้น (รูปัม คือรูป ศูนยะคือศูนย์)

บทสวดสันสกฤตเป็นบทกวี บทสวดนี้เป็นเหมือนกวีนิพนธ์ มี 24 คำ แต่วิจิตรพิสดารมาก เป็นศาสตร์ชั้นสูง เขาเอาที่ยาวๆเป็นแสนโศลก เอามาทำให้สั้นที่สุดเพื่อให้เป็นบทสวด เหมือนคั้นออกมาแต่หัวกะทิ จึงต้องเล่นคำเพื่อให้สวดได้ตามที่กำหนด มีคำน้อย แต่ถอดคำยากมาก เพราะคำสันสกฤตที่ใช้บางทีเหลือร่องรอยเพียงอักษรตัวเดียว การแปลก็ต้องเอาอักษรตัวเดียวนี้ไปไขความ

แม้จะเป็นการถอดเอาความหมายมาเรียบเรียงให้มีความไพเราะงดงามทางวรรณศิลป์ของผู้ประพันธ์เนื้อเพลง แต่เราต้องรักษาความหมายและอารมณ์ของบทสวด โดยเฉพาะบทสวดนี้ (เป็นบทสวดมหายาน) จึงมีความต่างจากบทสวดของเถรวาท คือ ในพุทธเถรวาท สูตรต่างๆเน้นให้นำไปสู่ความคิดที่ถูกต้องดีงาม แต่บทสวดปรัชญาปารมิตาต้องการให้คนออกไปเสียจากความคิด เนื่องด้วยกับดักที่มีอยู่ในปัจจุบันคือคนใช้ความคิด ความคิดที่มีที่สมเหตุสมผล และเรายึดอยู่ในสิ่งนั้น เรารู้สึกว่าเราคิดถูกแล้วเพราะว่าเรามีเหตุมีผล แต่เราก็ยังคิดอยู่ดี การที่บอกว่า “รูปคือความว่าง” ถ้าใช้ความคิดจะรู้สึกว่าขัดแย้ง มีรูปแล้วจะว่างได้อย่างไร เพราะเมื่อมีรูปก็ต้องมีรูปลักษณ์ฉะนั้นก็ต้องไม่ว่าง และยังบอกต่ออีกว่า “ความว่างก็คือรูป” จะเห็นได้ว่าบทนี้พยายามดึงคนออกมาจากความคิดให้ได้

แต่ละท่อนของเนื้อหามีความสำคัญอย่างไร การดำเนินเรื่องของมนตรานี้เป็นอย่างไร

ชุดของปรัชญาปารมิตา อาจจะทำให้เป็นหลายเพลงก็ยังได้ เพราะมีหลายส่วน ไปตามลำดับ

เบื้องต้นเป็นการภาวนาให้เห็นให้ได้ ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีรูปไม่มีตัวตน เป็นปรากฏการณ์ว่างๆธรรมดา เหมือนฝนตกแดดออก เรารับรู้และสัมผัสถึงความหมายและเราจะรู้สึกดี แต่ถ้าเราจะตากผ้าแล้วแดดไม่มีเราจะหงุดหงิด ก็เพราะเราเอาความรู้สึกของเราเข้าไปตัดสินกับปรากฎการณ์

ช่วงที่สอง ข้อบัญญัติที่มีอยู่เต็มไปหมดกลับกลายเป็นความรกรุงรัง เป็นอุปสรรค คล้ายๆของที่เก็บไว้ในตู้เย็น เก็บไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้กินแล้ว บทสวดจึงพยายามบอกให้เราทิ้งสิ่งพวกนี้เสียบ้าง จึงกล่าวว่า ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีอายตนะ… ไม่มีอะไรที่ให้เรามาเก็บไว้ในชุดความรู้ เป็นการข้ามพ้นสิ่งที่เป็นการเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้

จะเห็นว่าตอนต้นๆยังเป็นระดับของการใช้ความคิดได้อยู่ เพราะว่าต้องการให้รู้ว่าในกระบวนความคิดนั้น เราจำแนกแยกแยะว่ามีขันธ์ทั้ง 5 มีอายตะนะ 6 มีธาตุ 18 มีอริยสัจ 4 เป็นต้น สิ่งเหล่านี้นำมากจากธรรมบัญญัติ จาระไนให้เห็นว่าถูกกำหนดไว้อย่างนั้น แต่เมื่อไปถึงตัวบทนั้นจะแสดงให้เห็นว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องการให้เกิดความคิดถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ต้องการให้รู้สึกได้ถึงความหมายของความว่าง ผู้ทำเพลงต้องเข้าใจความหมายแบบนี้ จึงจะสามารถทำให้เนื้อง่ายขึ้น ใส่ทำนองที่เหมาะสมกับเจตนาของเราได้

เพลงออกแบบไว้ ให้มีการใช้เสียงที่ให้ความรู้สึก เริ่มต้นด้วยความว่าง ใช้เสียงสร้างมวลอวกาศเมื่อเพลงดำเนินไปก็จะมีการใช้ขลุ่ยจีนเข้ามาร่วม บรรยากาศของเพลงไล่มาจากท้องฟ้าสว่าง ต่อมาเริ่มมีลมฝนจนกลายเป็นพายุ สุดท้ายเมื่อเมฆหมอกจางไปก็จะกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง อาจารย์คิดว่าอย่างไร?

ดนตรีขอให้มีความละเอียดอ่อน ท่วงทำนองจะทำอย่างไรให้บทสวดมีความเหมาะสมกับความเป็นบทสวดของปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ให้ผู้ฟังมีสภาวะจิตที่อยู่กับบทสวดนี้ เหมือนกับเวลาฟังเพลงแล้วรู้สึกไพเราะ ข้ามพ้นพรมแดนของภาษา

“ความรู้สึกว่าไพเราะคือหัวใจ เน้นว่าเป็นความรู้สึกไม่ใช่ความไพเราะทางความหมาย”

ทำอย่างไรให้มีความไพเราะ ดนตรีมีส่วนสำคัญ ดนตรีก็มีภาษาของมันเอง สามารถทำให้เกิดสิ่งต่างๆได้ เช่น ความคึกคักหรือความสงบ โดยเราไม่ต้องจำเป็นต้องคิดถึงเนื้อหา ดนตรีทำให้เกิดความรู้สึกงดงามขึ้นในใจได้ ความรู้สึกของเพลงนี้น่าจะต้องสงบและรู้สึกถึงความหมายที่เป็นการปล่อยวางทางจิตใจได้ ทำให้เกิดความหมายที่ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำมากมาย แต่เป็นพลังสื่อสารที่นำไปสู่ความรู้สึก

แม้กระทั่งคำสวด คะเต ต้องออกเสียงยาว ช่วงบทนี้ต้องช้า เพราะเป็นลักษณะของการจะหยุด เพื่อบอกว่าหลังจากนี้ไปจะเป็นความเงียบสงบ คำว่า ‘สวาหา’ ต้องยาวและหายไปในความเงียบ ความคิดก็ต้องหายไปเลย

การรักษาคำแปล ทำให้เราต้องประดิษฐ์ถ้อยคำมาเพื่อรักษาคำแปล อันที่จริงเป็นการเตรียมตัวเพื่อให้เข้าสู่ความเงียบที่สุด เหมือนเคาะระฆังที่ไพเราะที่สุด เสียงที่ค่อยๆหายไป เหมือนกับว่าเมื่อเงียบแล้วจิตที่มีความสงบก็ยังได้ยินเสียงระฆัง มันปรากฏเสียงแต่มันเงียบ ตอนจบให้เป็นเสียงที่ได้ยินมาจากแดนไกล แต่มันก้องในใจ

ขอยกตัวอย่างว่า สมัยผมสอนวิชาปรัชญา มีปรัชญาที่เป็น post modern และมีการพยายามสอนซึ่งสังคมไทยอาจจะยังงงๆกัน เพราะเรายังไม่เป็น modern แต่ปรัชญาไปพูดถึงหลัง modern แล้ว ซึ่งอารมณ์ของความเป็น modern คือไปถึงจุดๆหนึ่งที่คนไปยึดถือว่า ในสิ่งที่เรียกว่าความเป็นจริงนั้นมันแน่ชัดและแน่นอน ซึ่งนี่คือความหมายของการเป็น modern แบบตะวันตก วิทยาศาสตร์จึงเข้ามาครอบครองโลกของการแสวงหาความรู้ เพราะคนมีความเชื่อมั่นเสียแล้วว่า รูปแบบทางวิทยาศาสตร์หรือกลไกและวิธีทางวิทยาศาสตร์นั้นนำเราไปสู่ความรู้ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่แน่ชัดแน่นอน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นผู้รู้

หลังยุค Modern เป็นการปฏิเสธ Modern มีการตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นประเด็นของ modern ทั้งหมด ในสังคมไทยเราจึงยังงงมาก เพราะเรายังไปไม่ถึง modern แบบสมบูรณ์ เรายังมีความเชื่อมีอะไรมากมาย นี่คือสิ่งที่พยายามอธิบายว่าทำไมเวลาไปอ่านงานปรัชญาของ post modern แล้วอาจจะไม่เข้าใจภาษาของ Post Modern ซึ่งปรัชญาปารมิตานั้นเทียบคล้ายกับเป็น post modern ของพระพุทธศาสนา จึงต้องมีการนำเอาตัวละคร คือ พระสารีบุตร คือผู้เชี่ยวชาญด้านพระอภิธรรม เป็นความรู้ชั้นสูงสุด เป็นการทำให้ชุดความรู้ที่วิจิตรอลังการด้วยถ้อยคำเทคนิคสูงทางธรรม แต่คำทั้งหมดถูกนำมาใช้เพื่อให้สลาย นี่คือหัวใจ ทำอย่างไรให้คำเหล่านี้คลายมนต์ขลัง ในบทใช้คำว่า เป็นศูนย์ เหมือนในบทคณิตศาสตร์ คือไม่มีค่าบวกลบ นึ่คือความหมายว่าจะทำดนตรีเพลงนี้อย่างไรให้เกิดอารมณ์แบบนี้ ให้รู้สึกถึงข้อธรรมในบทเพลง

งานนี้ไม่ใช่งานวิชาการ ขอให้ลืมเรื่องวิชาการให้หมด อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ ทำอย่างไรให้คนฟังรู้สึกได้

งานนี้จะมีการถ่ายทำเป็นภาพมาประกอบเพลงด้วย อยากขอคำแนะนำจากอาจารย์?

ทำอย่างไรจะทำให้เกิดความรู้สึก ทั้งภาพ เสียง ทำให้เห็นถึงความหมาย ถ้าจะให้เกิดความหมายที่ศักดิ์สิทธิ์อยากให้ไปที่คิชฌกูฏ เพราะคนทั่วไปเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมพระสูตรนี้ที่นั่น ที่คิชฌกูฎพระพุทธเจ้าทรงเข้าสมาบัติ และด้วยพุทธานุภาพจึงทำให้พระสารีบุตรเกิดความสงสัยถามพระอวโลกิเตศวร

เวลาเราพูดถึงอวโลกิเตศวรมีความหมายเป็นสองส่วน จะหมายถึงบุคคลก็ได้ หรือจะหมายถึงการมองลงมาจากที่สูงก็ได้ เพราะคำนี้ในตัวสูตรเป็นคำกริยาด้วย แปลว่ามองลงมาจากที่สูง เพราะเมื่อเรามองลงมาจากพื้นที่สูง เราจะเห็นส่วนประกอบ เห็นพื้นที่ที่ประกอบ เมื่อขึ้นไปที่คิชฌกูฏต้องจับภาพลงมาจากที่สูงแล้วจะเห็น คำว่าอวโลกิเตศวรนี้หากใช้เป็นคำกริยา จะหมายความเหมือนว่า เมื่อมองลงมาจากที่สูง จึงเห็นขันธ์ทั้งห้าเป็นความว่าง

ในคำว่าอวโลกิเตศวรที่เป็นคำกิริยานั้นแปลเป็นไทยยาก เพราะไม่ใช่การมองแบบมอง แต่เมื่อเราอยู่เหนือเราจึงเห็น คำว่าอยู่เหนือก็คือปกติเราอยู่กับโลก เราจึงไม่เห็นโลกนี้ เมื่อเราอยู่เหนือเราจึงจะเห็น การเห็นนี้เป็นการเห็นที่สำคัญ มองเห็นจากที่สูงแต่เข้าใจว่ามองเห็นในความหมายที่ไม่มีความคิดแล้ว เป็นจิตที่รู้โดยที่ไม่ต้องคิด ถ้ามาจากฐานของความคิดก็หมายถึงว่าเราเอาเรื่องราวทั้งหลายมาต่อกัน มาเชื่อมกันให้เกิดความหมาย นึกภาพเวลาเรานั่งเครื่องบิน เรามองลงมาเห็นเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่ หากเราอยู่ใต้เมฆหมอกนั้นเราจึงเกิดความมืด อยู่ในเมืองที่ไม่มีแดด ฝนฟ้าครึ้ม แต่เมื่อเรานั่งเครื่องบินเรากลับเห็นฝนตกอยู่ข้างล่าง ความหมายนี้ไปสัมพันธ์กับความเชื่อเกี่ยวกับภพภูมิของพระโพธิสัตว์ในคติของฝ่ายมหายาน พระโพธิสัตว์เมื่อบำเพ็ญบารมีจนไปอยู่ในธรรมเมฆภูมิคือภูมิที่อยู่เหนือเมฆ ภาษาในปรัชญาปารมิตา ท่อนที่ว่าด้วยเมื่อจิตไม่ถูกปิดกั้น อวรณะคือสิ่งที่ปกคลุมปกปิดไว้ ทำให้เรามองไม่เห็น เมื่อพระโพธิสัตว์จิตไม่ถูกปิดกั้นแล้ว จึงเห็น

อยากให้เห็นทั้งทางขึ้นของเขาคิชฌกูฏ และที่มูลคันธกุฎี มองให้เห็นถึงมิติของการมองจากที่สูง เป็นการแสดงให้เห็นทั้งมุมมองจากข้างล่างและข้างบน

ภาพที่ปรากฏขึ้นในตอนท้าย สุดท้ายตัวเราเองก็เป็น(สภาวะ)อวโลกิเตศวร คือมองเห็นโลกจากที่สูง ที่เรายึดติดอยู่ตอนนี้กันก็คือเรามองโลกด้วยความว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของโลก

เวลาใช้เสียงภาวนามนตรา อาจารย์ทำอย่างไร?

การภาวนามนตราโดยทั่วไป เราปล่อยให้มนตราค่อยๆ นำไปสู่โลกของความเงียบ ไม่มีความคิดเข้าไปแทรกแซง ไม่มีสิ่งซึ่งจะเป็นประเด็นซึ่งจะปฏิเสธและยืนยันอีกแล้ว

ยิ่งพอเป็นปรัชญาปารมิตามนตร์นั้น (เมื่อบทมนตราดำเนินไปจนถึงท่อนจบ) เสียงภาวนามนต์เหมือนจะดังขึ้น แต่ไม่ได้เกิดจากเราแผดเสียงให้ดังขึ้น แต่เกิดจากเสียงอื่นที่ลดโทนลง ช่วงท่อนจบที่ ‘สวาหา’ เสียงดนตรีและเสียงมนต์ที่ออกมาจากการภาวนาต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน โลกภายนอกคือดนตรีที่เราได้ยิน เสียงมนต์ในตัวเริ่มเลือนไป แต่ความหมายและความศักดิ์สิทธิ์ของมนต์มันสถิตอยู่ในใจแล้ว เสียงก็คือความว่าง

เพลงนี้มีคำร้องเป็นคำอ่านแบบคาราโอเกะให้ด้วย คนจะสามารถสวดไปด้วยได้ เราหวังว่าถ้าเขาอยากจะภาวนาในปรัชญาปารมิตา อาจสามารถภาวนาโดยการดูภาพไปด้วย ดูคำไปด้วย อยากให้คำตรงกับความหมายที่แท้จริง สำหรับบางคน คำบางคำสามารถจูงไปในความหมายบางอย่างโดยไม่ต้องใช้ความคิดปรุงแต่ง

ปรัชญาปารมิตายังไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยนัก อาจารย์คิดว่าคนจะสนใจหรือไม่?

เรากำลังอยู่ในมิติของความเปลี่ยนผ่าน สังคมไทยกำลังโหยหาวิถีทางศาสนาที่จะทำให้สามารถออกจากความคิด เราตกอยู่ในหล่มอยู่ในระบบของความคิด ชื่นชมผู้รู้ที่เต็มไปด้วยความคิด สามารถอธิบายหลักธรรมได้อย่างวิจิตรพิสดาร แต่ผู้รู้เหล่านั้นก็ไม่สามารถดึงพาเราออกไปจากความขุ่นมัว ความคับแค้นอะไรได้ ฉะนั้นภาวะแบบนี้ทำให้คนโหยหา

คนทั่วไปอาจยังไม่ชิน ยังต้องการคำอธิบายด้วยเหตุผล เชื่อว่าความเป็นจริงต้องอธิบายด้วยเหตุผล ทั้งที่ความเป็นจริงภายในมันเป็นเรื่องอารมณ์ภายใน ซึ่งมันไม่ต้องมีเหตุผล มันเหมือนการที่เราบอกว่า ถึงโง่อย่างไรก็รักเป็น (จาก forest gump) คนไม่ฉลาดก็ทุกข์เป็น และคนไม่ฉลาดก็สามารถออกจากความทุกข์ได้

เมฆเปลี่ยน คนเปลี่ยน เราไปติดกับมายา เข่นเราไปคาดหวังว่าเขาจะรักเรา แต่ทั้งหมดก็เป็นมายา

ภาพพระแม่ปรัชญาปารมิตาที่นาลันทา museum

ในช่วงที่ไปถ่ายทำวีดีโอ เก็บภาพพระแม่ปรัชญาปารมิตามากจากนาลันทา รูปเคารพของปรัชญาปารมิตามีอย่างอื่นอีกหรือไม่?

รูปนี้คือสมัยที่ยังเจริญรุ่งเรืองในนาลันทา แต่หลังจากนั้นก็มีพัฒนาการต่อไปอีก รูปเคารพของปรัชญาปารมิตามีการพัฒนาการมาเป็นลำดับ

เริ่มต้นเป็นโพธิสัตว์วัชรปาณี จากวัชรปาณีมาเป็นมัญชุศรี (ความหมายเดียวกัน) ช่วงที่เกิดเป็นมหายานขึ้นพระพุทธเจ้าจะต้องมีพระโพธิสัตว์อัครสาวก เป็นคู่บุญพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับที่เถรวาทมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ มหายานก็มีคู่คือปัทมปาณีกับวัชรปาณี ต่อมาเป็นปัทมปาณี (ถือดอกบัว) มาเป็นอวโลกิเตศวร นี่คือฝ่ายของเมตตา ปัทมโคตร-ในคติความเชื่อของพระพุทธศาสนาจะมีการสืบสายมา

ส่วนในฝ่ายวัชระ จากวัชรปาณี เป็นมัญชุศรี จากมัญชุศรี คลี่คลายมาเป็นปรัชญาปารมิตา แต่พอมาถึงยุคของมนตราญาณก็พัฒนามาสู่ความเป็นผู้หญิง เพราะถูกทำให้เป็นศักติคือเป็นอำนาจของปัญญา จนกลายมาเป็นพุทธมารดา ในบทสรรเสริญต่อๆมาท่านเป็นพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ในความหมายก็คือเมื่อใครบำเพ็ญภาวนาเพื่อบรรลุธรรม เพื่อการรู้แจ้งในสภาวะพุทธะที่ตื่นขึ้นมา จะต้องมีพุทธมารดา ปรัชญาปารมิตาจึงถูกทำให้เกิดมีความหมายในการภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญา คือเกิดพุทธะขึ้นในใจ

ความหมายของปรัชญาปารมิตาจากที่เป็นแสนโศลก ถูกค่อยๆลดทอนให้สั้นลงๆ จนกระทั่งมาถึงปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร หัวใจอันเป็นสาระของปรัชญา และสุดท้ายก็เหลือเพียงอักษรตัวเดียว

ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรดึงเอาสองสายนี้ (เมตตาและปัญญา) มาพบกัน

สังเกตเห็นว่ารูปเคารพมีมุทราด้วย มุทรานี้เป็นมุทราเฉพาะของปรัชญาปารมิตาหรือเปล่า

มุทรานั้นเมื่อแรกเริ่มเป็นท่าของพระพุทธเจ้า เพื่อจะบอกว่าพระพุทธเจ้าทำท่าอะไรมีนัยยะอย่างไร ต่อมาจะเห็นว่ามีท่ามุทราคู่กับมนตราและการสาธยายมนตร์ การวางท่าในการสาธยายมนตร์หลังๆวิจิตรมากจนกลายมาเป็นรหัสนัย มุทราในความหมายต้นๆก็คือจะมีปางปฐมเทศนาท่านทำมืออย่างไร เวลาบำเพ็ญสมาธิท่านทำมืออย่างไร ท่านชนะมารทำมืออย่างไร แรกๆมีอยู่ไม่กี่มุทรา แต่หลังๆมีการนำมาใช้ว่าระหว่างที่เรากำลังสาธยายมนตร์มันก็จะต้องมีมุทราประกอบการสาธยายมนตร์นั้น

จึงเป็นที่มาว่าแม้กระทั่งต่อมารูปเคารพที่สร้างขึ้นมาจากพระโพธิสัตว์ก็จะมีท่าที่เป็นมุทรา เพราะว่าหมายความถึงว่าท่านกำลังทำอะไร นี่คือท่าวิจักรจาระมุทรา(บำเพ็ญฌาน) ในความหมายของปรัชญาปารมิตาที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้มีความหมายว่าท่านกำลังอยู่ในห้วงของการบำเพ็ญ เพราะว่าการเข้าถึงในส่วนนี้ไม่ใช่เรื่องของการคิด แต่อยู่ในสภาวะของการบำเพ็ญสมาธิที่ลึกซึ้ง ท่าที่ปรากฏเป็นรูปขึ้นมาจึงถูกทำให้เห็น

นอกจากเพลงนี้แล้ว น่าจะมีอะไรอีกบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจปรัชญาปารมิตา?

น่าจะมีเสียงสาธยายปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร หรือถ้ามีหนังสือออกมาก็มีหนังสือไว้อ่านด้วยและมีบทสวดสำหรับฟังได้ด้วย และมีเพลงหรือบทสวดด้วย คนอยู่บนรถบนถนน แทนที่จะนั่งหงุดหงิดก็นั่งฟังสาธยายได้ด้วย อยากให้ทุกคนมีเพลงนี้ ให้เป็นเพลงที่คนนึกถึงยามมีปัญหา ยามขุ่นมัว มีอะไรมากระทบหรือหวั่นไหว อยากให้ฟัง อาจจะสวดภาษาสันสกฤต (หรืออาจแปลไทย) อยากให้คนไทยได้สวด ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเหมือนอินเดีย

อาจารย์แปลเสร็จหรือยังคะ

ไม่ได้คิดว่าจะทำให้จนเสร็จ ผมตั้งใจว่าจะทำไว้เป็นวาระสุดท้ายของชีวิต คือหมายความว่า พอผมจบงานก็เสร็จ

คือมันเป็นเรื่องของการทำเพื่อเป็นการภาวนา ผมจะยกเฉพาะบทหนึ่งบทขึ้นมาตั้งเริ่มต้นด้วยบทปวารณาคาถาคือบทคารวะพระแม่ปรัชญาปารมิตา เมื่อเราเปล่งเสียงโอม เราเปล่งในความหมายของการภาวนาในความหมายอย่างไร หมายความว่า เราจะออกมาจากโลกของการปรุงแต่ง มาสู่โลกของจิตที่เรารู้ ในความหมายของเสียงโอมก็เหมือนเป็นสัญญาณให้รู้ เรื่อยๆไปเรื่อยๆ ในความหมายนี้จึงทำให้ผมต้องปรับคำแปลไปเรื่อยๆจากฉบับที่เคยพิมพ์เผยแพร่ไว้เดิม ว่าทำไมต้องปรับใหม่ เพื่อให้ไปสู่คำที่เป็นศัพท์เดิม จึงอธิบายว่าทำไมเมื่อเราภาวนา รูปัม ศูนยัม มันหมายความว่าอย่างไร