ตอนที่ 1: ภูเขาไกรลาสและทะเลสาปมาปัม

ขอนอบน้อมแด่คุรุอาจารย์ทุกท่าน

เมื่อมิลาเรปะและศิษย์เอกคือ เรชุงปะ กำลังเดินบาตร และช่วยเหลือสรรพสัตว์อยู่ในสถานที่ที่มีชื่อเรียกว่า ทะเลสาบน้อยทั้งห้า ในแคว้นดริทสัม ชื่อเสียงของท่านเป็นที่เลื่องลือยิ่ง ผู้คนต่างบอกกันว่า ดูเถิด! ท่านมิลาเรปะผู้ประเสริฐและท่านเรชุงปะกำลังทำสมาธิอยู่ที่เขาไกรลาสและทะเลสาปมาปัม ด้วยกิตติศัพท์ที่เลื่องลือ ผู้คนจากแคว้นดริทสัมต่างเชื่อว่ามาลาเรปะและเรชุงปะเป็นโยคีแก่กล้าที่ไม่มีผู้ใดเหมือน ความศรัทธาและชื่นชนเติบใหญ่ในใจผู้คนและต่างก็เชื้อชวนกันไปพบท่าน นำของใช้และเครื่องบูชาไปมอบให้ท่าน

ในหมู่ผู้คนเหล่านั้นมีหญิงสาวผู้ปราชญ์เปรื่องและเปี่ยมกรุณานามว่า เรชุงมา (ซึ่งอันที่จริงเธอคือ พระฑากินี ซึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์) เมื่อได้ยินประวัติชีวิตของ มิลาเรปะ ความศรัทธาก็ยิ่งถูกตอกย้ำ เธอและบรรดาเพื่อนสาวอีก 4 คนจึงพากันไปพบมิลาเรปะและศิษย์เอกของท่าน แต่คิดว่าต้องการทดสอบเสียก่อนเพื่อจะตรวจสอบดูว่าที่ผู้คนเลื่องลือถึงท่านนั้นจริงแท้เพียงใด เรชุงมาจึงขับขานคีตาขึ้นมาดังนี้

(1)

เหล่าข้าพเจ้ามั่นคงแล้วในพระรัตนตรัย
ขอท่านมอบพรแด่พวกข้าด้วยความกรุณา

โอ ท่านโยคีเรปะทั้งสอง
ชื่อเสียงของท่านขจรไกล
เหล่าผู้ศรัทธาที่มาชุมนุม ณ ที่นี้
ขอท่านดำรงอยู่ในความเงียบ
และสดับฟังคีตาของเหล่าข้า

เราหญิงสาวทั้งห้ามาจากครอบครัวที่บริบูรณ์
กำลังขับขานคีตาเพื่อเป็นเครื่องบูชา
ได้โปรดพิจารณาความหมายถ้อยคำและใคร่ครวญในอุปมา
มอบแด่ท่านเรปะทั้งสอง บทคีตานี้จึงถูกขับขาน

(2)

ชื่อเสียงของภูเขาหิมะไกรลาสยิ่งใหญ่นัก
ได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือมาไกล
แม้ก่อนจะได้พบเห็น
ผู้คนล้วนกล่าว
“ดูเถิด เขาไกรลาส คล้ายดั่งสถูปแก้ว”
แต่เมื่อเข้าไปใกล้ถึงส่วนฐานและพินิจดู
กลับไม่เห็นความยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ดังว่า
มีเพียงยอดเขาที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยหิมะ
ตัวภูเขาก็ปกคลุมไปด้วยหิมะทุกด้าน
บริเวณรอบก็เป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ
และรายล้อมไปด้วยภูเขาลูกอื่นๆอีกมากมาย
เราไม่เห็นว่าจะมีอะไรยิ่งใหญ่หรือมหัศจรรย์

(3)

ชื่อเสียงของทะเลสาปเทอคอยซ์มาปัมนั้นเลื่องลือ
แม้เราไม่เคยเห็นแต่ก้ได้ยินมามาก
ผู้คนล้วนกล่าว “ดูเถิด ทะเลสาบมาปัม
คล้ายดั่งมันดาลาของเทอร์คอยซ์”
แต่เมื่อเข้าไปใกล้ กลับไม่เห็นมีอะไรตระการตา
มีเพียงทะเลสาปน้ำนิ่งๆ
และมีลำธารไหลจากต้นธาร
รายล้อมไปด้วยโขดหินและทุ่ง
มีอะไรยิ่งใหญ่หรือมหัศจรรย์หรือ?

(4)

ความสูงใหญ่ที่เลื่องลือของภูผาหินแดง
แม้เราไม่เคยเห็นแต่ก้ได้ยินมามาก
ผู้คนล้วนกล่าว
“ดูเถิด หินนั้นเป็นดั่งกองอัญมณีเลอค่า”

แต่เมื่อเข้าไปใกล้และมองดูอย่างชัดเจน
มีแต่ก้อนหินยื่นออกมา
และยังมีป่าไม้งอกเงยขึ้นมาบนหินนั้น
รายล้อมด้วยลำธารหลายสาย
แล้วมีอะไรที่น่าอัศจรรรย์ใจอย่างไรหรือ?

(5)

ท่านทั้งสองมีชื่อเสียงเลื่องลือ
ว่าเป็นเรปะใหญ่และเรปะน้อย
แม้เราไม่เคยพบท่าน
แต่ก้ได้ยินเรื่องราวยิ่งใหญ่ของท่านมามากเหลือเกิน
ผู้คนล้วนกล่าว “พวกท่านเป็นโยคีผู้บรรลุธรรม”
มาบัดนี้เราได้เห็นท่านตรงหน้า
เรากลับไม่ประทับใจอะไรเลย

เราเห็นแต่ชายแก่และชายหนุ่ม
ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่น้อย
นอนแผ่ไร้ผ้าผ่อนอย่างไม่รู้จักละอาย
พึมพัมแต่บทเพลงอะไรไม่รู้
มีความเป็นอยู่อย่างอนาจ
ร่างสองร่างห่อหุ้มเพียงผ้าฝ้าย
ยาจกสองคนได้แต่ขอทาน
ทำอะไรกันตามใจ
มีอะไรน่าเลื่อมใสอย่างไรหรือ?

(6)

พวกเราพี่น้องหญิงผู้ได้จาริกไปทุกหนแห่ง
การจาริกเช้านี้เรารู้สีกเสียเวลายิ่งนัก
สำหรับเราที่เป็นนักเดินทางท่องโลก
การเดินทางครั้งนี้ไร้ความหมายเสียจริง
เป็นการเดินทางที่ไม่คุ้มค่ากับความเจ็บที่เท้าเสียกระไร

เราพี่น้องหญิง ที่ได้เห็นโลกมามาก
ครานี้มาเห็นชายหนุ่มและชายชราเยี่ยงท่านทั้งสอง
รู้สึกเสียเวลายิ่งนัก

(7)

เราพี่น้องหญิง ที่ได้ยินเรื่องราวในโลกนี้มามาก
สิ่งที่ได้ยินมาเกี่ยวกับท่านทั้งสองนั้น
ล้วนเป็นเพียงความดังที่ไร้สาระ
ท่านทั้งสอง หากมิใช่หุ่นเชิดชาวพุทธ
ก็คงโดนปีศาจเข้าสิงสู่
คงจะสร้างแต่ความชั่วร้ายเลวทรามร่ำไป

หากท่านเข้าใจคีตาที่เราขับขานนี้
ขอท่านตอบเราด้วยโคลงฉันท์
หากท่านไม่เข้าใจแล้ว
เมื่อสวดมนต์เสร็จก็ขอให้ไปเสียเถิด
และอย่ามายุ่งกับเราอีกเลย

เมื่อได้ยินบทเพลงขับขานที่ท้าทายเช่นนั้น มิลาเรปะก็หันไปพูดกับเรชุงปะว่า

“เรชุงปะ ภูเขาหิมะแห่งนี้รวมทั้งทะเลสาปทั้งสามเป็นสถานที่แห่งศรัทธาตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า

หากแม้นเราไม่ชี้แจงต่อผู้ที่ดูหมิ่นสถานที่เหล่านี้แล้ว ผู้คนก็จะมีแต่เพิ่มพูนอกุศลกรรม ความศักดิ์สิทธิ์ของที่แห่งนี้ก็กลับถูกเข้าใจผิด

ในฐานะที่เราผู้เป็นโยคีซึ่งกำลังดำรงอยู่ซึ่งธรรมชาติแห่งกาย วาจา ใจ ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนดูถูกเช่นกัน

กระนั้นเราจึงควรชี้แจงเพื่อให้เขาเข้าใจพื้นฐานธรรมชาติความเป็นโยคี

และเผยให้ผู้คนได้รู้ถึงคุณสมบัติอันดีงามของสิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาเห็นผิดไป

จงมาร่วมกับข้าในการขับขานคีตาเพื่อตอบหญิงสาวเหล่านั้น”

(8)

เหล่าผู้ศรัทธาที่มาชุมนุม ณ ที่นี้
หนุ่มสาวผู้นิยมการสวดและขับขานคีตา
สาวนางทั้งห้าผู้เป็นเลิศในวาทศิลป์
ขอจงฟังคำตอบ ผ่านบทเพลงที่เราจะขับขาน

รู้หรือไม่ว่าเราเป็นใคร
เราคือเรปะอาวุโสและเยาว์
ข้า ชายชราที่กำลังขับขานเพลงอยู่ทางด้านขวา
คือ โยคีมิลาเรปะ
ส่วนเขา ชายหนุ่มที่กำลังสวดมนต์อยู่ทางด้านซ้าย
คือ ดอร์ ดรัก เรชุง

ด้วยท่วงทำนองและถ้อยประพันธ์
ข้าจะแสดงรหัสนัยเพื่อตอบข้อถามของท่าน
คีตานี้จักเผยจากการรู้แจ้งจากจิตวิญญาณ
ขอให้ตั้งใจใคร่ครวญเมื่อได้ฟัง

(9)

ชื่อเสียงของไกรลาสแผ่ไพศาล
ผู้คนแม้อยู่แดนไกลล้วนพรรณนาถึง
“ไกรลาสเปรียบตั่งสถูปแก้ว”
หากเมื่อเขาเข้ามาใกล้
กลับเห็นเพียงยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะ

คำพุทธพยากรณ์กล่าวว่า
ภูเขาหิมะแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของโลก
ที่ซึ่งสิงโตหิมะเต้นรำ
ยอดเขานั้นเป็นดั่งสถูปแก้ว
สวรรค์สีขาวเปล่งประกายของพระเต็มชก

ภูเขาหิมะที่ล้อมรอบไกรลาสอยู่นั้น
ล้วนเป็นสถานแห่งอรหันต์ทั้งห้าร้อย
ที่ซึ่งเทพทั้งแปดเหล่าล้วนสักการะ
รายล้อมไปด้วยเนินเขาและบึงน้ำ
อุดมไปด้วยพืชพรรณหอมอบอวล

ต้นกำเนิดทิพยโอสถ
ถิ่นแห่งโยคีผู้บรรลุธรรมทั้งหลาย
ณ ที่นี้เอง จักเป็นที่สำเร็จซึ่งสมาธิ
ไม่มีที่ใดประเสริฐกว่านี้อีกแล้ว
ไม่มีที่ใดมหัศจรรย์กว่านี้อีกแล้ว

(10)

ชื่อเสียงของทะเลสาบมาปัมแผ่ไพศาล
ผู้คนแม้อยู่แดนไกลล้วนพรรณนาถึง
“ดูเถิด ทะเลสาบมาปัม
คล้ายดั่งมันดาลาของเทอร์คอยซ์”
เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นน้ำเต็มเปี่ยม
คำพุทธพยากรณ์กล่าวว่า
ทะเลสาบแห่งนี้เรียกว่า ทะเลสาปที่น้ำไม่เคยอุ่น
เป็นต้นน้ำแก่แม่น้ำทั้งสี่
นทีซึ่งเหล่าปลาแหวกว่ายและนาคลงเล่น

และเพราะที่นี้เป็นที่ซึ่งนาคทั้งแปดเหล่าสถิตอยู่
จึงปรากฏเหมือนมันดาลาแห่งเทอร์คอยซ์
มีน้ำตกมาจากสรวงสวรรค์
ดั่งสายธารแห่งน้ำนม ดั่งสายฝนอันเป็นทิพย์
ที่ซึ่งร้อยเหล่าเทพสรงน้ำ
น้ำแห่งกุศลทั้งแปดประการ

โขดหินและทุ่งที่รายล้อมนี้
ล้วนเป็นขุมสมบัติอันมีค่าของเหล่านาค
ที่นี้มีต้นจัมบูอยู่
ทวีปทางด้านใต้ (ของเขาพระสุเมรุ) ที่เรียกขานว่าจัมบู
ก็มีที่มาอย่างนี้เอง
ไม่มีที่ใดประเสริฐกว่านี้อีกแล้ว
ไม่มีที่ใดมหัศจรรย์กว่านี้อีกแล้ว

(11)

ความสูงใหญ่ที่เลื่องลือของภูผาหินแดง
ผู้คนแม้อยู่แดนไกลล้วนพรรณนาถึง
“ดูเถิด หินนั้นเป็นดั่งกองอัญมณีเลอค่า”
เมื่อเข้าไปใกล้ๆ
จะเห็นโขดหินใหญ่ดั่งหอคอยกลางทุ่งหญ้า
ดั่งคำพุทธพยากรณ์ที่กล่าวว่า
เนินผาดำ หินแห่งเทือกเขาบิเจ
เป็นสถานศูนย์กลาง ด้านเหนือของป่า
อยู่ที่ชายแดนของทิเบตและอินเดีย
ที่ซึ่งเสือโคร่งท่องป่าอย่างอิสระ

มีป่าต้นยาไม้จันทร์หอม
และไม้สีเขียวล้วนเป็นยาชั้นยอดหกชนิด
หินนี้เป็นที่สถิตของเทพจากสรวงสวรรค์
สถานของฤาษีซึ่งประสาทพรโดยพระฑาฆินี
ที่นี้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าโยคีบรรลุธรรม
แม่น้ำลำธารที่โอบรอบ
ก็เพื่อปกป้องสถานที่นี้จากการถูกรบกวน
ไม่มีที่ใดประเสริฐกว่านี้อีกแล้ว
ไม่มีที่ใดมหัศจรรย์แท้จริงกว่านี้อีกแล้ว

(12)

ชื่อเสียงเลื่องลือของเรปะใหญ่และเรปะน้อย
ผู้คนแม้อยู่แดนไกลล้วนพรรณนาถึง
“พวกเขาล้วนเป็นผู้บรรลุธรรม”
เมื่อเข้าไปใกล้ๆ
กลับเห็นแต่ชายชราและชายหนุ่ม
ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่น้อย
เพราะทั้งสองล้วนหมดแล้วซึ่ง
การยึดติดกับรูปและความคิดทั้งปวง

นอนแผ่ไร้ผ้าผ่อนแสดงให้เห็น
ว่าเราไม่ต้องการสวมเสื้อผ้าแห่งการยึดติดทั้งสอง
เปิดเผยอวัยวะชายอย่างไม่ละอายแสดงให้เห็น
ว่าเราหมดแล้วซึ่งความรู้สึกอับอาย
ที่ล้วนสร้างกันขึ้นมาเอง

ถ้อยคำเหล่านี้ไหลออกมาเองจากปากเรา
จากประสบการณ์ด้านใน
ผ้าฝ้ายที่หุ้มห่อตัวเรา
แสดงถึงความเปี่ยมสุขและอบอุ่นของไฟตุมโมที่ลุกโชน

เราได้แต่ขอทานและกินของเหลือจากคนอื่น
แสดงให้เห็นว่าเราหมดแล้วซึ่งความปรารถนาใดๆ
จิตวิญญาณเราไร้ความกังวลไร้ความกลัว
เราอยู่ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหกของเราเอง
ในวิถีแห่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุด

(13)

ข้าเป็นคุรุของผู้ศรัทธาและมีบุญ
เป็นต้นกำเนิดแห่งอรรถกถาทั้งปวง
เป็นสัญลักษณ์แห่งการสักการะจากผู้อุปถัมภ์เลื่อมใส
เป็นแบบอย่างแก่เหล่าเทพและปราชญ์บัณฑิต

เหล่าโยคีบอกกล่าวกับเราว่าบรรลุความเข้าในในสิ่งใด
มิจฉาทิฐิถูกทำลายล้างผ่านเรา
เราคือต้นกำเนิดแห่งแสงสว่างของสัจธรรม
เป็นผู้ได้ตระหนนักแล้วถึงธรรมแห่งความว่าง

จิตของเราดำรงอยู่อย่างสันติ
เราเป็นผู้นำพาไปสู่หนทางนั้น
เราได้บรรลุแล้วซึ่งธรรมกาย
และดำรงอยู่ในหนทางแห่งโพธิจิต
ไม่มีสิ่งใดประเสริฐกว่านี้อีกแล้ว
ไม่มีสิ่งใดมหัศจรรย์กว่านี้อีกแล้ว

หญิงผู้มาเยี่ยมทั้งสอง
เธอได้จาริกไปทั่วทุกดินแดน
แต่การเดินทางเหล่านั้น
มีแต่ความตรากตรำและน่าเบื่อหน่าย
หากต้องการจาริกอย่างมีคุณค่าแล้ว
จงเดินทางไปที่วัดพุกบา วาดี

(14)

จริงอยู่เธอได้เดินทางไปทุกที่แล้ว
แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการเสียเวลา
และยังทำให้เท้าเจ็บและเหนื่อยล้า
หากปรารถนาจะเดินทางอย่างคุ้มค่า
จงไปยังพุทธคยาอันศักดิ์สิทธิ์

อาจจะไม่มีที่ใดที่เธอยังไม่เคยไป
แต่สถานที่เหล่านั้นล้วนไม่มีความหมาย
หากต้องการการจาริกที่จริงแท้
จงไปยังวัดลาซา-จรูนน

คงไม่มีสิ่งใดที่เธอยังไม่เคยได้ยิน
แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่สลักสำคัญอะไรเลย
หากต้องการฟังสิ่งที่มีความหมาย
จงฟังอรรถกถาจากสายการปฏิบัติ

เธออาจจะพึ่งพาคนมากมาย
แต่เขาเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงเครือญาติ
หากเธอตามหาผู้เธอสามารถพึ่งพาได้อย่างแท้จริง
จงตามหาคุรุที่แท้เถิด

เธออาจผ่านการทำทุกสิ่งและไปมาแล้วทุกที่
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นการประกอบกรรม
หากเธอต้องการกรรมที่มีคุณค่า
เธอจงปฎิบัติตามคำสอนของพระธรรมเถิด

(15)

นี่คือคำบอกของชายแก่ต่อหญิงทั้งหลาย
หากเธอเข้าใจ นี้คือคำสอนที่แท้จริง
หาไม่แล้ว เธอจะเห็นว่ามันเป็นเพียงบทเพลง
และนี่เป็นเวลาที่เธอจะต้องไปแล้ว
เราโยคีทำอะไรกันตามใจ
เหล่าผู้มาเยือนก็จงไปและทำเช่นนั้นเหมือนกันเถิด

เรชุงมาผู้ที่เป็นผู้นำของหญิงทั้งหลายและยืนอยู่ตรงกลาง ก็รู้สึกถึงศรัทธาที่เปี่ยมล้นขึ้นมา น้ำตาไหลพรากมาที่แก้ม เธอปลดหยกที่ประดับอยู่ที่เข็มขัดและอัญมณีต่างๆจากเครื่องประดับศีรษะ กราบลงต่อหน้ามิลาเรปะ และกล่าวด้วยน้ำตาว่า

“เราหญิงสาวห้าคนขอให้ท่านสอนธรรมะให้เราด้วยเถิด เรากราบขอให้ท่านมอบอรรถกถาอันลึกล้ำ เราได้ตัดสินใจจะปฏิบัติธรรมในอาศรม”

จากนั้นเธอได้ขับขานคีตา: 
(อ่านต่อในตอนที่ 2: เรชุงมาตัดสินใจขอเป็นศิษย์)

ตอนที่ 2 เรชุงมาตัดสินใจขอเป็นศิษย์

เมื่อได้ฟังคีตาของมิลาเรปะ เรชุงมาก็รู้สึกถึงศรัทธาที่เปี่ยมล้น นำ้ตาไหลพรากมาที่แก้ม นางตัดสินใจขอเป็นศิษย์ของมิลาเรปะ

ตอนที่ 3 การตรวจสอบตัวเอง

มิลาเรปะขับขานคีตาเกี่ยวกับการตรวจสอบตัวเอง เพื่อตอบเรชุงมา ผู้ซึ่งขอปฎิบัติธรรมและใช้ชีวิตเยี่ยงท่าน

ตอนที่ 4 การทดสอบศรัทธา

มิลาเรปะต้องการทดสอบศรัทธาของเรชุงมา

ตอนที่ 5 ความตระหนักรู้ 15 ข้อ

เรชุงมาขับขานคีตา "ความตระหนักรู้ 15 ข้อ" เพื่อตอบมิลาเรปะที่ทดสอบศรัทธาของนาง